วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

ป่าชายเลน (Mangrove forest)

ป่าชายเลน      
           ป่าชายเลน (Mangrove forest) คือ เป็นกลุ่มพืชซึ่งขึ้นอยู่ในเขตน้ำลงต่ำสุดและน้ำขึ้นสูงสุด บริเวณชายฝั่งทะเล และปากแม่น้ำหรืออ่าว ซึ่งจะประกอบด้วยพันธ์ไม้หลายชนิดหลายตระกูล และเป็นพวกที่มีใบเขียวตลอดปี จะมีลักษณะทางสรีรวิทยาและความต้องการสิ่งแวดล้อมที่คล้ายกัน ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยพันธ์ไม้สกุลโกงกางเป็นสำคัญและมีไม้ตระกูลอื่นบ้าง
ป่าชายเลนได้มีการค้นพบมาตั้งแต่เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินทางมาบริเวณชายฝั่งตะวันตกของเกาะคิวบา ต่อมา เซอร์ วอลเตอร์ เรลห์ ได้พบป่าชนิดเดียวกันนี้อยู่บริเวณปากแม่น้ำในประเทศตรินิแดดและกิอานา
คำว่า "mangrove" เป็นคำจากภาษาโปรตุเกสคำว่า "mangue" ซึ่งหมายถึงกลุ่มสังคมพืชที่ขึ้นอยู่ตามชายฝั่งทะเลดินเลน และใช้กันแพร่หลายในประเทศแถบลาตินอเมริกา ส่วนประเทศอื่น ๆ ก็ใช้เรียกตาภาษาของตัวเอง เช่น ประเทศมาเลเซีย  ใช้คำว่า  "manggi-manggi"   ประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเรียกป่าชายเลน ว่า "mangrove" ส่วนภาษาไทยเรียกป่าชนิดนี้ว่า "ป่าชายเลน" หรือ "ป่าโกงกาง"
บริเวณที่พบป่าชายเลนโดยทั่วไป คือตามชายฝั่ง ทะเล บริเวณปากน้ำ อ่าว ทะเลสาบ และเกาะ ซึ่งเป็นบริเวณที่น้ำทะเลท่วมถึงของประเทศ ในแถบภูมิภาคเขตร้อน  ส่วนเขตเหนือหรือใต้เขตร้อน จะพบป่าชายเลนอยู่บ้างแต่ไม่มาก โดยพื้นที่ที่พบป่าชายเลนเช่น ในกลุ่มประเทศของภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า และ ไทย เป็นต้น
สำหรับพื้นที่ป่าชายเลนของโลกทั้งหมดมีประมาณ  113,428,089 ไร่ อยู่ใน เขตร้อน 3 เขตใหญ่ คือ เขตร้อนแถบเอเชียพื้นที่ประมาณ 52,559,339 ไร่ หรือร้อยละ 46.4 ของป่าชายเลนทั้งหมด โดยประเทศอินโดนีเซียมีป่าชายเลนมากที่สุด ถึง 26,568,818   ไร่ สำหรับในเขตร้อนอเมริกามีพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมดประมาณ 39,606,250ไร่ หรือร้อยละ 34.9 ของพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมด ในเขตร้อนอเมริกาประเทศที่มีพื้นที่
โดยประเทศบราซิล  มีพื้นที่ป่าชายเลนประมาณ  15,625,000 ไร่  รองจากอินโดนีเซีย  ส่วนเขตร้อนอัฟริกามีพื้นที่ป่าชายเลนน้อยที่สุดประมาณ  21,262,500 ไร่  หรือร้อยละ  18.7  ของพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมด โดยประประเทศไนจีเรีย  มีพื้นที่ป่าชายเลน  6,062,500 ไร่ มากที่สุดในโซนนี้ (สนิท อักษรแก้ว. 2532. ป่าชายเลน นิเวศวิทยาและการจัดการ)
ห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศป่าชายเลน
ระบบนิเวศวิทยาที่เกิดขึ้นในป่าชายเลนนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมพืชพรรณธรรมชาติชนิดต่าง ๆ เมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ เพื่อใช้ในกาสังเคราะห์แสงจะทำให้เกิดอินทรียวัตถุและการเจริญเติบโต กลายเป็นผู้ผลิต  (producers)  ของระบบส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ นอกเหนือจากมนุษย์นำไปใช้ประโยชน์จะร่วงหล่นทับถมในน้ำและในดิน ในที่สุดก็จะกลายเป็นแร่ธาตุของพวกจุลชีวัน เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา แพลงก์ตอน ตลอดจนสัตว์เล็ก ๆหน้าดินที่เรียกกลุ่มนี้ว่าผู้บริโภคของระบบ (detritus consumers) พวกจุลชีวันเหล่านี้จะเจริญเติบโตกลายเป็นแหล่งอาหารของสัตว์น้ำเล็ก ๆ อื่น ๆ และสัตว์เล็ก ๆ เหล่านี้ จะเจริญเติบโตเป็นอาหารของพวกกุ้ง ปู และปลาขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับของอาหาร (tropic levels) นอกจากนี้ ใบไม้ที่ตกหล่นโคนต้นอาจเป็น อาหารโดยตรงของสัตว์น้ำ (litter feeding) ก็ได้ ซึ่งทั้งหมดจะเกิดเป็นห่วงโซ่อาหารขึ้น ในระบบนิเวศป่าชายเลน และโดยธรรมชาติแล้วจะมีความ สมดุลในตัวของมันเอง แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งก็จะเป็นผลทำให้ระบบความสัมพันธ์นี้ถูกทำลายลง จนเกิดเป็นผล เสียขึ้นได้ เช่น ถ้าหากพื้นที่ป่าชายเลนถูกบุกรุกทำลาย จำนวนสัตว์น้ำก็จะลดลงตามไปด้วยตลอดจนอาจเกิดการเน่าเสียของน้ำ

 http://fieldtrip.ipst.ac.th/backend/images/resources/krabaen/content_pic/Food-Web.jpg
ประเภทของป่าชายเลน
ป่าชายเลนสามารถแบ่งได้ 4 ชนิด
1.            Basin forest เป็นป่าชายเลนที่มี พบติดกับแผ่นดินใหญ่ตามลำน้ำและได้อิทธิพลจากน้ำทะเลน้อยมากน้ำทะเลจะท่วมถึงเฉพาะเวลาที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุด
2.            Riren forest เป็นป่าชายเลนที่พบบริเวณชายฝั่งแม่น้ำใหญ่ที่ติดกับทะเล ทะเลสาบ มีน้ำทะเลท่วมถึงทุกวัน
3.            Fringe forest เป็นป่าชายเลนที่พบบริเวณชายฝั่งทะเลที่ติดกับแผ่นดินหรือรอบเกาะที่เป็นเกาะใหญ่ น้ำทะเลท่วมถึงเสมอเป็นประจำทุกวัน ยกเว้น ชายฝั่งทะเลของเกาะใหญ่น้ำทะเลท่วมถึงเมื่อน้ำทะเลขึ้นสูงสุด
4.            Overwash forest เป็นป่าชายเลนที่พบตามเกาะเล็กๆ เมื่อน้ำทะเลขึ้นสูงสุดจะท่วมต้นไม้หมด พรรณไม้ที่จะเตี้ยกว่าปกติ มีอัตราการเติบโตต่ำ


ป่าชายเลนในประเทศไทย
ประเทศไทยมี 22จังหวัด ที่มีพื้นที่ป่าชายเลนตามชายฝั่งทะเลแม่น้ำลำคลอง ทะเลสาบและเกาะต่างๆ ตั้งแต่ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออกตลอดไปจนถึงภาคใต้ทั้งสองฝั่ง โดยมีพื้นที่รวม 1,047,390 ไร่ พื้นที่ป่าชายเลนลดลงเนื่องจากการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อการเพาะเลี้ยงกุ้งรวมทั้งการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อกิจกรรมอื่น เช่น การทำเหมืองแร่ การทำนาเกลือ การทำเกษตรกรรม การขยายชุมชนการสร้างท่าเทียบเรือ การสร้างถนนและสายส่งไฟฟ้า การสร้างโรงงานอุตสาหกรรมและการขุดลอกร่องน้ำ
http://edtech.ipst.ac.th/mangrove/images/edutravel/1-2-s.jpg
ประโยชน์และความสำคัญของป่าชายเลน 
                ป่าชายเลนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งของชายฝั่งทะเลและนับเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า มหาศาลทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของประเทศ
               
ป่าชายเลนเป็นแหล่งพลังงาน และแหล่งวัตถุดิบไม้ใช้สอยและก่อสร้างในครัวเรือน 
                แหล่งพลังงานที่สำคัญในป่าชายเลนได้มาจากถ่าน ไม้ป่าชายเลนที่นิยมนำมาเผาถ่านคือ ไม้ โกงกาง เพราะติดไฟทนทาน ไม่มีควัน ไม่ปะทุแตกไฟ ได้ก้อนถ่านสวยงาม ขายได้ราคาดี ปัจจุบัน ถ่านไม้โกงกางที่มีชื่อเสียง คือถ่านไม้โกงกางบ้านยี่สาร .สมุทรสงคราม นอกจากนี้ไม้ป่าชายเลนมีประโยชน์ใช้สอยและก่อสร้าง เช่น ไม้เสาเข็ม ไม้ค้ำยัน ไม้ ก่อสร้าง แพปลา อุปกรณ์การประมง เฟอร์นิเจอร์ ไม้หลายชนิดนำมาสกัดจะได้แทนนิน ใช้ทำน้ำ หมึก ทำสี ทำกาว ย้อมอวน ฟอกหนัง เป็นต้น
                ป่าชายเลนเป็นแหล่งพืชผักและพืชสมุนไพร 
                พืชในป่าชายเลนสามารถนำมาใช้เป็นผักพื้นบ้านจำนวน หลายชนิด เช่น ใบชะคราม ยอดเป้ง ยอดผักเบี้ยทะเล ต้นจากก็เป็นพืชป่าชายเลนอีกชนิดหนึ่งที่สามารถนำส่วนต่างๆ มาใช้ ประโยชน์ได้ คือ ใบนำมาทำเป็นตับมุงหลังคา ใบอ่อนสามารถนำมามวนบุหรี่ได้ น้ำจากยอดอ่อน นำมาทำน้ำตาลจากรสชาติดี ผลใช้กินเป็นของหวาน พืชในป่าชายเลนหลายชนิดนำมาใช้เป็นสมุนไพรได้ เช่น เหงือกปลาหมอ มะนาวผี ใช้ รักษาโรคผิวหนัง ผลของตะบูนขาวใช้รักษาโรคบิดและโรคท้องร่วงได้ รากตาตุ่มทะเลใช้แก้อักเสบ แก้ไข้ แก้คัน เป็นต้น
                 
ป่าชายเลนเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของสัตว์น้ำ 
                 เศษซากพืชหรือเศษไม้ใบไม้และส่วนต่างๆ ของไม้ป่าชายเลนที่ร่วงหล่นลงมา จะถูกย่อย สลายกลายอินทรียวัตถุ กระบวนการย่อยสลายของอินทรียวัตถุเหล่านี้จะทำให้เกิดสารอินทรีย์ที่ ละลายน้ำ เช่น กรดอะมิโน ซึ่งสาหร่ายและจุลินทรีย์ต่างๆ จะสามารถใช้เป็นอาหารได้ และ จุลินทรีย์เหล่านี้เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญสำหรับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนต่อไป
                ป่าชายเลนเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน  เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ นานาชนิด
สัตว์น้ำที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจหลายชนิดได้ใช้ป่าชายเลนเป็นที่อยู่อาศัย และอนุบาลตัว อ่อนในบางช่วงของวงจรชีวิตของมัน เช่น ปลากะพงขาว ปลานวลจันทร์ทะเล ปลากระบอก ปลา เก๋า กุ้งกุลาดำ กุ้งแชบ๊วย หอยดำ หอยนางรม หอยแมลงภู่ หอยแครง และหอยกะพง ปูแสม ปูม้า แต่สัตว์น้ำบางชนิดอาจใช้ป่าชายเลนเป็นทั้งแหล่งเกิดและอาศัยจนเติบโตสืบพันธุ์ เช่นปูทะเล
               
ป่าชายเลนช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศชายฝั่ง ทะเลและปะการัง
                ป่าชายเลนมีบทบาทในการรักษาสมดุลของธาตุอาหารและความอุดมสมบูรณ์ของน้ำ ทะเลชายฝั่งซึ่งจะส่งผลถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรประมง
                ป่าชายเลนช่วยป้องกันดินพังทลายชายฝั่งทะเล 
รากของต้นไม้ในป่าชายเลน นอกจากจะช่วยป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งแล้ว ยังช่วย บรรเทาความเร็วจากกระแสน้ำลง ทำให้ทำให้ตะกอนที่แขวนลอยมากับน้ำทับถมเกิดเป็นแผ่นดิน งอกใหม่ เมื่อระยะเวลานาน ก็จะขยายออกไปในทะเลเกิดเป็นหาดเลน อันเหมาะสมแก่การเกิด ของพันธุ์ไม้ป่าชายเลน
               

ป่าชายเลนเป็นพื้นที่สำหรับดูดซับสิ่งปฏิกูลต่างๆ 
รากของต้นไม้ในป่าชายเลนที่งอกออกมาเหนือพื้นดิน จะทำหน้าที่คล้ายตะแกรงธรรมชาติ คอยดักกรองสิ่งปฏิกูลต่างๆ และสารมลพิษต่างๆ จากบนบกไม่ให้ลงสู่ทะเล โลหะหนักหลายชนิด เมื่อถูกพัดพามาตามกระแสน้ำ ก็จะตกตะกอนลงที่บริเวณดินเลนในป่าชายเลน นอกจากนั้นขยะ และคราบน้ำมันต่างๆ ก็
จะถูกดักกรองไว้ในป่าชายเลนเช่นกัน 
ป่าชายเลนมีความสำคัญในการเป็นแหล่งพลังงานและอาหาร เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์ตามธรรมชาติ
เพื่อเป็นเครื่องป้องกันแนวชายฝั่งทะเล   เพื่อควบคุมการกัดเซาะพังทลาย   เพื่อซับน้ำเสีย   เป็นแนวกำบังกระแสน้ำเชี่ยวที่ปากแม่น้ำและพายุหมุน   ผลิตภัณฑ์จากไม้   เชื้อเพลิง   วัสดุก่อสร้าง    สิ่งทอและหนังสัตว์
อาหาร ยา และเครื่องดื่ม  การผลิตกรดจากเปลือกไม้ (tannin)   ให้ผลผลิตมวลชีวภาพ (biomass) แก่แหล่งประมง
พันธุ์ไม้และสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลนในประเทศไทย
พืชในระบบนิเวศป่าชายเลน จะเป็นพืชที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกับพืชที่ขึ้นอยู่ในระบบนิเวศบนบก ก็คือ จะเป็นพืชที่มีความสามารถในการปรับตัวเพื่อให้สามารถทนต่อความเค็มของน้ำทะเลได้ มีรากอากาศและระบบรากที่ทำให้สามารถได้ออกซิเจนเพียงพอต่อการดำรงชีวิตในดินที่มีน้ำขังตลอดเวลาได้ ดินในสภาพดังกล่าวจะมีออกซิเจนน้อย นอกจากนี้พืชหลายชนิดยังมีความสามารถในการขับเกลือจากน้ำทะเลออกจากต้นได้   ทำให้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินที่เค็มและมีน้ำทะเลท่วมถึง ตัวอย่างพืช เช่น
โกงกางใบเล็ก (ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhizophora apiculata) ซึ่งเป็นพืชที่พบมากที่สุด โกงกางใบใหญ่ (ชื่อเรียกวิทยาศาสตร์ Rhizophora mucronata)

           http://fieldtrip.ipst.ac.th/backend/images/resources/krabaen/content_pic/bigsmall.jpg
ประสักดอกแดง หรือ ประสัก (ชื่อวิทยาศาสตร์ Bruguiera gymnorrhiza) แสมขาว (ชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ Avicennia alba) แสมทะเล (ชื่อวิทยาศาสตร์ Avicennia marina)
   http://fieldtrip.ipst.ac.th/backend/images/resources/krabaen/content_pic/avicennia.jpg

ฝาดดอกขาว (ชื่อวิทยาศาสตร์ Lumnitzera racemosa) ฝาดดอกแดง (ชื่อวิทยาศาสตร์Lumnitzera littorea) โปรง (ชื่อวิทยาศาสตร์ Ceriops tagal) ไม้วงศ์ Meliaceae สกุล Xylocarpusพบในป่าชายเลนไทย 3 ชนิดคือตะบัน (ชื่อวิทยาศาสตร์ Xylocarpus rumphii) ตะบูนขาวหรือตะบันขาว  (ชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ คือ  Xylocarpus granatum) ตะบูนดำ (ชื่อวิทยาศาสตร์ Xylocarpus moluccensis) และชนิดอื่นๆ รวมแล้วประมาณ 43-47 ชนิด ซึ่งเมื่อเทียบกับรายงานการสำรวจจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ปี 2550) พบว่าประเทศไทยมีพันธุ์ไม้ป่าชายเลนทั้งหมด 73 ชนิด ซึ่งทำให้เห็นได้ว่า ที่อ่าวคุ้งกระเบนมีความหลากหลายของพันธุ์ไม้ในป่าชายเลนมากกว่าครึ่งของที่พบในประเทศไทย
สัตว์ในระบบนิเวศป่าชายเลน ในระบบนิเวศป่าชายเลนจะพบสัตว์หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น สัตว์บกและสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย (ที่พบ เช่น หอยตานนท์ (ชื่อวิทยาศาสตร์ Littorina scrabra scrabra) หอยจุ๊บแจง (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cerithidea obtuse) หอยปากเป็ด (ชื่อวิทยาศาสตร์ Lingula anatine)) ปลา (พี่พบมากก็คือ ปลาตีน (ชื่อวิทยาศาสตร์ Perioptalmus chrysosphilos) ปลากระบอก (ชื่อวิทยาศาสตร์ Mugil dussumieri)) สัตว์เลื้อยคลาน (งู ตะกวด เต่า และจระเข้) สัตว์ในกลุ่มปู (ปูแสมเขียว (ชื่อวิทยาศาสตร์ Episesarma mederi) ปูแสม (ชื่อวิทยาศาสตร์ Sesarma mederi) ปูม้า (ชื่อวิทยาศาสตร์ Portunus pelagicus) ปูหนุมาน (ชื่อวิทยาศาสตร์ Grapsus albiliniatus) ปูก้ามดาบ (ชื่อวิทยาศาสตร์ Uca vocans) สัตว์ในกลุ่มนกโดยจากการสำรวจในปีงบประมาณ 2553-2554 พบว่ามีนกอาศัยอยู่ในบริเวณอ่าวคุ้งกระเบนมากถึง 128 ชนิด  เช่น นกกินเปรี้ยว (ชื่อวิทยาศาสตร์Todiramphus chloris) นกตะขาบทุ่ง (ชื่อวิทยาศาสตร์ Caracias benghalensis) นกตีนเทียน (ชื่อวิทยาศาสตร์ Himantopus himantopus) นกเป็ดผีเล็ก (ชื่อวิทยาศาสตร์ Tachybaptus ruficollis) และยังเป็นแหล่งที่มีหญ้าทะเลซึ่งเป็นที่หลบภัย เป็นที่อยู่อาศัยเพื่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนของสัตว์น้ำในทะเล เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของพะยูนซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่อาศัยในน้ำ  ซึ่งในอดีตเคยพบพะยูนเข้ามาหากินหญ้าทะเลในอ่าวคุ้งกระเบนนี้ แต่ปัจจุบันความถี่ในการพบจะน้อยมากเนื่องจากปัญหาการลดลงของจำนวนพะยูน นอกจากนี้ยังมีรายงานการพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิดอื่นๆ อีก เช่น ค้างคาว ลิงลม หนูบ้าน และนาก  นอกจากนี้ยังพบสิ่งมีชีวิตมากมายอีกหลายชนิดครอบคลุมสิ่งมีชีวิตมากมายหลายกลุ่มรวมถึงจุลินทรีย์ และโปรโตซัวชนิดต่างๆ ด้วย

                              https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTOqqBhvpgsepmcqbmefSA2LU-                                 ESJmZ1xgv1vhsRKdqPFwZI6uQMQ
บทสรุป

                ป่าชายเลนเป็นป่าที่มีความสำคัญมากทั้งต่อมนุษย์ สิ่งแวดล้อม แม้กระทั่งสัตว์ ล้วนได้รับประโยชน์จากป่าชายเลนและยังเป็นแหล่งที่มีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ โดย ป่าชายเลนจะช่วยลดปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ในอากาศ ช่วยป้องกันการกัดเซาชายฝั่งเป็นแหล่งอาหารของสัตว์จำพวกจุลินทรีย์  แม้กระทั่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์  เช่น  ปูแสม  ปูม้า  กุ้ง  หอย ปลา เป็นต้น  นอกจากนี้ป่าชายเลนนับว่ามีอยู่ทั่วทุกมุมโลก แต่ป่าชายเลนลดน้อยลงทุกวัน เนื่องจากการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อการเพาะเลี้ยงกุ้งรวมทั้งการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อกิจกรรมอื่น เช่น การทำเหมืองแร่ การทำนาเกลือ เป็นต้น